สิทธิของผู้เสียภาษีที่ควรทราบ

ecacc_580528_001

ผู้ที่มีรายได้ตามเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนดมีหน้าที่ที่จะต้องเสียภาษี ตามกฏหมายได้ให้สิทธิของผู้มีหน้าที่เสียภาษีโดยสรุปดังนี้

1. การผ่อนชำระภาษี

  • ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามแบบ ภ.ง.ด. 90 ภ.ง.ด. 91 ที่มีจำนวนเกินกว่า 3,000 บาท สามารถแบ่งจ่ายงวดละเท่าๆกัน ไม่เกิน 3 งวด โดยไม่ต้องเสียเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม
  • ภาษีอากรที่ค้างชำระ โดยยื่นคำร้องขอผ่อนภายใต้หลักเกณฑ์การผ่อนชำระของกรมสรรพากร

2. การยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมินภาษี

กรณีที่ผู้เสียภาษีถูกประเมินภาษีอากร หากไม่เห็นด้วยกับการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน ผู้เสียภาษีมีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์การประเมินเป็นหนังสือ (แบบ ภ.ส.6) ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือแจ้งการประเมิน และหากได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์แล้วยังไม่เห็นด้วยก็มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลภาษีอากรได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์จากคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ หากไม่ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลา ผู้เสียภาษีไม่มีสิทธิอุทธรณ์ใดๆ และต้องชำระภาษี พร้อมทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามการประเมินให้ครบถ้วน

3. ขอทุเลาการชำระภาษีอากรโดยจัดให้มีหลักประกันการชำระหนี้ภาษีอากรค้าง

การใช้สิทธิอุทธรณ์ไม่เป็นเหตุให้ทุเลาการเสียภาษีอากร ผู้เสียภาษีที่ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินให้ชำระภาษี มีหน้าที่ต้องชำระภาษ๊ตามการประเมินนั้น ภายในกำหนดเวลาที่ได้แจ้งไว้ในหนังสือแจ้งการประเมิน อย่างไรก็ตาม หากต้องการรอคำวินิจฉัยอุทธรณ์ หรือคำพิพากษา ผู้เสียภาษีมีสิทธิยื่นคำร้องขอทุเลาการชำระภาษี โดยจัดให้มีหลักประกันการชำระหนี้ภาษีอากรด้วยหลักทรัพย์ต่างๆ ภายใต้หลักเกณฑ์ตามระเบียบของกรมสรรพากร

4. ของดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มภาษีอากร

ผู้เสียภาษีที่มีหน้าที่ยื่นแบบฯ และชำระภาษีอากรให้ครบถ้วนภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย หากมิได้ยื่นแบบฯ หรือชำระภาษีภายในกำหนดเวลา ต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามกฎหมายนอกเหนือจากเงินภาษีที่ต้องชำระอีกด้วย อย่างไรก็ดี หากการกระทำความผิดมีเหตุอันควรผ่อนผัน ผู้เสียภาษีอาจมีคำร้องเป็นหนังสือของดหรือลดเบี้ยปรับและอาจได้รับการพิจารณางดหรือลดเบี้ยปรับให้ได้ ตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนดไว้ สำหรับเงินเพิ่มไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจเจ้าพนักงานฯงดหรือลดให้ได้ เว้นแต่เป็นกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้ขยายกำหนดเวลาชำระหรือนำส่งภาษี และได้มีการชำระหรือนำส่งภาษีภายในกำหนดเวลาที่ขยายแล้ว เงินเพิ่มจะลดลงมาเหลือเพียงกึ่งหนึ่ง

5. ขอคัดเอกสารหรือขอสำเนาเอกสาร

ผู้เสียภาษีมีสิทธิขอคัดเอกสารหรือขอสำเนาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเสียภาษีของตนเองได้ เช่น ขอคัดสำเนาแบบแสดงรายการภาษีของตนเอง หรือใบเสร็จรับเงินค่าภาษีแต่ละประเภทที่เป็นของตนเอง เป็นต้น

อ้างอิง : http://www.rd.go.th/publish/813.0.html

น้ำมันรถหักภาษีมูลค่าเพิ่มได้หรือไม่ได้กันแน่

ecacc_580521_001

น้ำมันที่เติมไปบนรถยนต์แต่ละประเภทมีเงื่อนไขในการนำไปเครดิตภาษีมูลค่าเพิ่มที่แตกต่างกัน บางประเภทหักได้บางประเภทหักไม่ได้ มาดูกันว่ารถยนต์และน้ำมันแบบไหนที่หักภาษีมูลค่าเพิ่มได้บ้าง

ประเด็นสำคัญที่จะเป็นตัวบอกว่าน้ำมันที่เติมไปนั้นนำมามาเครดิตภาษีมูลค่าเพิ่มได้หรือไม่ คือ “ประเภทรถยนต์” ถ้าเป็นรถเพื่อการพาณิชย์ เช่น รถกระบะ 2 ประตู รถบรรทุก รถยนต์นั่งเกิน 10 คน (รถตู้) น้ำมันที่เติมไปทุกประเภท สามารถนำมาเครดิตภาษีมูลค่าเพิ่มได้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเฉพาะน้ำมันดีเซลเท่านั้น แต่ถ้าเป็นรถนั่งไม่เกิน 10 คน เช่น รถเก๋ง รถแวน รถ SUV ไม่ว่าจะเติมน้ำมันชนิดใด ก็ไม่สามารถนำมาเครดิตภาษีมูลค่าเพิ่มได้แม้แต่จะเป็นน้ำมันดีเซลก็ตาม แต่สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้เต็มจำนวน (ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ฉบับที่ 42)

และมีประเด็นเพิ่มเติมว่าถ้าจ่ายค่าน้ำมันรถให้พนักงาน โดยรถนั้นเป็นรถเพื่อการพาณิชย์หรือรถยนต์นั่งเกิน 10 คน จะสามารถนำมาเครดิตภาษีมูลค่าเพิ่มได้หรือไม่ ซึ่งก็ให้ดูจากประเภทของรถยนต์เป็นหลัก ถ้าเป็นรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ก็สามารถนำมาเครดิตภาษีมูลค่าเพิ่มได้

อ้างอิง

กรมสรรพากร :

http://www.rd.go.th/publish/22995.0.html
http://www.rd.go.th/publish/3398.0.html

ซื้อของไม่มีบิลทำอย่างไรให้หักเป็นค่าใช้จ่ายได้

ecacc_580512_001

เมื่อไปซื้อของหรือจ้างคนมาทำงานให้กับกิจการ ปรากฏว่าร้านที่ซื้อของไม่มีบิลหรือคนที่จ้างมาไม่ใช่บริษัท เช่น จ้างวินมอเตอร์ไซด์ไปส่งเอกสาร พนักงานเรียกแท็กซี่ไปหาลูกค้า ฯลฯ กรณีเช่นนี้อาจจะดูเหมือนว่าไม่สามารถทำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ แต่จริงๆ แล้วสามารถทำได้โดยทำเอกสารประกอบให้ถูกต้องเท่านั้น

ในกรณีของนิติบุคคลการจะจ่ายค่าสินค้าหรือค่าบริการ มาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้นั้นจะต้องมีหลักฐานประกอบ โดยทั่วไปก็จะใช้ใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงิน ซึ่งจะต้องมีชื่อกิจการและเลขประจำตัวผู้เสียภาษีตามระเบียบที่กรมสรรพากรกำหนด แต่สำหรับในกรณีที่ผู้ขายหรือผู้ให้บริการไม่สามารถที่จะออกเอกสารที่เป็นหลักฐานในการซื้อสินค้าหรือให้บริการได้ กิจการสามารถทำเอกสารเพิ่มเป็นหลักฐานในการจ่ายเงิน โดยจัดทำ “หนังสือรับรองการจ่ายเงิน” เพื่อใช้เป็นหลักฐาน และเพื่อให้เอกสารทั้งหมดถูกต้องจะต้องหลักฐานอื่นประกอบให้ครบถ้วนดังนี้

  1. กรอกรายละเอียลงในหนังสือรับรองการจ่ายเงินให้ครบถ้วน ได้แก่ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ เลขประจำตัวประชาชน รายการที่ซื้อหรือรับบริการจำนวนเงิน และให้ผู้รับเงินลงนามให้เรียบร้อย
  2. ถ่ายสำเนาบัตรประชาชนของผู้ขายหรือผู้ให้บริการ พร้อมลงนามรับรองสำเนาถูกต้อง
  3. ออกหนังสือการหักภาษี ณ ที่จ่าย โดยหักภาษีในอัตรา 3% และระบุในหนังสือรับรองการหักภาษีเป็น “ค่าจ้าง”

สำหรับในกรณีของค่ารถแท็กซี่หรือวินมอเตอร์ไซด์ที่พนักงานจ้างไปทำธุระให้กิจการ ก็ออก “หนังสือรับรองการจ่ายเงิน” และระบุในหนังสือว่าไปธุระที่ใด จากที่ไหนถึงที่ไหน เป็นจำนวนเงินเท่าไร โดยไม่ต้องมีเอกสารอื่นประกอบ

ecacc_580512_003

เพียงเท่านี้ก็สามารถค่าเงินที่ได้จ่ายไป มาเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการได้อย่างถูกต้อง

ซื้อรถหรูในนามบริษัท ซื้อเงินสดหรือเงินผ่อนดีกว่า

ecacc_580504_001

การซื้อรถเก๋งที่มีราคาสูงหรือรถหรูไว้ใช้โดยจดทะเบียนในนามบริษัท ตามกฏหมายจะสามารถนำไปหักค่าเสื่อมได้ไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยจะต้องแบ่งหักเป็นค่าใช้จ่ายไม่น้อยกว่า  5 ปี ถ้าจะซื้อรถเก๋งที่ราคาเกินกว่า 1 ล้านบาท มาดูกันว่าซื้อรถเป็นเป็นเงินสดหรือเงินผ่อนจึงจะได้ประโยชน์สูงสุด Continue reading

ระวังไวรัส “เรียกค่าไถ่” !!

ecacc_580504_0021

เนื่องจากในระยะนี้ มีไวรัสคอมพิวเตอร์ชื่อ CryptoLocker หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “ไวรัสเรียกค่าไถ่” กำลังระบาด ซึ่งไฟล์ทั้งหมดบนฮาร์ดดิสก์จะถูกล็อกเรียกไม่ได้ รวมทั้งรูปภาพและไฟล์เอกสารจะต้องจ่ายเงินให้กับผู้เขียนโปรแกรมจึงจะปลอดล็อกให้

Continue reading