และแล้วฤดูกาลของการตรวจนับสินค้าคงเหลือปลายปี (ending inventory) ก็เวียนมาอีกครั้ง ทำให้พนักงานบริษัทต่างๆ ต้องเหน็ดเหนื่อยเพื่อนับยอด เคลียร์ยอดสินค้าปลายปีกันเป็นประเพณีปีละครั้งเพื่อนำผลการตรวจนับไปบันทึกบัญชี และแจ้งในงบดุลส่งกระทรวงพาณิชย์ และกรมสรรพากร ตามลำดับ แน่นอนว่าปริมาณสินค้าที่สูญหายขาดเกินจากสมุดสต็อกย่อมมีผลกระทบต่องบการเงิน ต่อการบันทึกบัญชีและภาษีอากรโดยเฉพาะในแง่ VAT นั้นจะมีโทษปรับสูงเสียด้วยแล้วเราจะมีวิธีแก้ไขปมปัญหาดังกล่าวได้อย่างไร หรือไม่?
1. ธุรกิจใดต้องตรวจนับสต็อกบ้าง?
เนื่องจากมาตรฐานการบัญชี (ฉบับที่31) ของ‘สมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทย’ ได้ให้นิยาม‘สินค้าคงเหลือ’ ว่าหมายถึง สินค้าสำเร็จรูป (finished goods)สินค้าระหว่างผลิต (work in process) และ วัตถุดิบ (raw material)ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าธุรกิจใดก็ตามที่มีสินค้าหรือวัตถุดิบในครอบครองล้วนต้องทำการตรวจนับสินค้าปลายปีทั้งสิ้น อาทิเช่น การผลิตสินค้า รับเหมาก่อสร้าง ซื้อมาขายไปการนำเข้าและส่งออก เป็นต้น
กิจการผลิตสินค้าดูจะยุ่งยากกว่ากิจการอื่นๆเพราะต้องทำการตรวจนับทั้งวัตถุดิบ สินค้าระหว่างผลิต และสินค้าสำเร็จรูปซึ่งในทางปฏิบัติมักจะพบว่ายอดตามผลการตรวจนับจริงมักจะแตกต่างจากยอดตามสมุดบัญชีคุมสินค้าอยู่เนืองๆสาเหตุเกิดได้ในทุกช่วงของการผลิต
ตั้งแต่การซื้อวัตถุดิบมาซึ่งอาจมีปริมาณไม่ครบถ้วนตามใบกำกับสินค้า เนื่องจากมีการระเหิด ระเหย ชำรุดสูญหาย หรือผิดพลาดจากการชั่งตวงวัดก็เป็นได้ทั้งนั้น ช่วงระหว่างการผลิตก็จะเกิดปัญหาจากส่วนสูญเสียหรือเศษซากการผลิต รวมทั้งการหย่อนประสิทธิภาพในขณะผลิตหรือสินค้าเสียหายมาก เกินมาตรฐาน เป็นต้น
กิจการให้บริการซึ่งมองดูผิวเผินก็มักจะคิดว่าไม่ต้องทำการตรวจนับสินค้าอะไร (เพราะไม่มีตัวสินค้าให้ตรวจนับ) แต่อย่าลืมว่ากิจการเหล่านี้อาจต้องใช้วัสดุอะไหล่ต่างๆ ในการให้บริการ เช่น อู่ซ่อมรถต้องมีสต็อกอะไหล่หลายๆ ชนิดหรือกิจการรับเหมาก่อสร้างก็ต้องใช้อิฐ หิน ดิน ทราย และเหล็ก ในการรับจ้างก่อสร้างเป็นต้น ดังนั้นธุรกิจเหล่านี้ก็จำเป็นต้องทำการตรวจนับอะไหล่ หรือวัตถุดิบต่างๆที่คงเหลือตอนปลายปีด้วย เพื่อการบันทึกบัญชี และคำนวณต้นทุนของงานบริการ เป็นต้น