ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการเมื่อได้รับใบกำกับภาษีจากผู้ขายสินค้าหรือให้บริการ ถ้าผู้ซื้อสินค้าเป็นผู้บริโภคคงไม่ค่อยสนใจว่าใบกำกับภาษีที่ได้รับถูกต้องหรือผิดพลาดอย่างไร เนื่องจากไม่สามารถนำใบกำกับภาษีดังกล่าวไปใช้อะไรได้ ถ้าไม่ถูกต้องอย่างไรก็ไม่มีผล เพราะต้องถูกเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ประกอบการจดทะเบียนผู้ขายสินค้าหรือให้บริการอยู่ดี แต่ถ้าผู้ซื้อสินค้าหรือรับบริการเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด VAT) กรณีการได้รับใบกำกับภาษีจึงเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังตรวจสอบว่าใบกำกับภาษีที่ได้รับมานั้นถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่ถูกต้องจะมีผลทำให้ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีดังกล่าวเป็นภาษีซื้อต้องห้ามจะนำมาหักออกจากภาษีขายไม่ได้
ใบกำกับภาษีที่ไม่ถูกต้องมีลักษณะอย่างไร หลักง่ายๆ ก็คือ ถ้าใบกำกับภาษีที่รับมาดังกล่าวไม่สามารถนำภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภาษีซื้อ) ตามจำนวนที่ปรากฏในใบกำกับภาษีดังกล่าวมาหักออกจากภาษีขายได้ใบกำกับภาษีดังกล่าวก็ไม่ถูกต้องแล้ว (ภาษีซื้อต้องห้าม) โดยดูได้ง่ายๆ ดังนี้
1. ถ้าผู้ออกใบกำกับภาษีไม่ใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ใบกำกับภาษีดังกล่าวเป็นใบกำกับภาษีที่ผู้ออกไม่มีสิทธิออก ผู้รับนำมาใช้ไม่ได้ เป็นภาษีซื้อต้องห้ามตามมาตรา 82/5 (5) แห่งประมวลรัษฎากร
2. ถ้าใบกำกับภาษีที่ได้รับไม่ใช่ชื่อของผู้ซื้อสินค้าหรือรับบริการก็นำมาใช้ไม่ได้ เป็นภาษีซื้อต้องห้ามตามมาตรา 82/5 (1) แห่งประมวลรัษฎากร
3. ถ้าใบกำกับภาษีที่ได้รับมีรายการไม่ครบถ้วนตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร ก็นำมาใช้ไม่ได้ เป็นภาษีซื้อต้องห้ามตามมาตรา 82/5 (2) แห่งประมวลรัษฎากร (สำหรับรายการใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปมีรายการอะไรบ้างดูได้ตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 39)ฯ)
4. ถ้าใบกำกับภาษีที่ได้รับมีวิธีการจัดทำไม่ถูกต้อง ก็นำมาใช้ไม่ได้ ซึ่งดูได้ดังนี้4.1 รายการของใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปที่มีรายการคำว่า “ใบกำกับภาษี” และรายการ “ชื่อ ที่อยู่ เลขประจำตัวผู้ออกใบกำกับภาษีตีพิมพ์มาจากโรงพิมพ์ และใบกำกับภาษีดังกล่าวเป็นต้นฉบับ รายการอื่นใบกำกับภาษีจะจัดทำด้วยวิธีการอย่างใดก็ได้ เช่น พิมพ์ดีด เขียนด้วยหมึก ประทับด้วยตรายาง ออกด้วยคอมพิวเตอร์ เป็นต้น วิธีการจัดทำใบกำกับภาษีดังกล่าวเป็นวิธีการจัดทำที่ถูกต้อง
4.2 รายการของใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปที่มีรายการคำว่า “ใบกำกับภาษี” และรายการ “ ชื่อ ที่อยู่ เลขประจำตัวผู้ออกใบกำกับภาษี” ไม่ได้ตีพิมพ์มาจากโรงพิมพ์ทั้งสองรายการ หรือตีพิมพ์มาจากโรงพิมพ์เพียงรายการใดรายการหนึ่ง (รายการเดียว) รายการของใบกำกับภาษีรายการอื่นที่ไม่ได้ตีพิมพ์มาจากโรงพิมพ์ต้องออกด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งหมด จึงจะเป็นวิธีการจัดทำใบกำกับภาษีที่ถูกต้อง ถ้ารายการของใบกำกับภาษีรายการอื่นมีเพียงรายการเดียวไม่ได้ตีพิมพ์มาจากโรงพิมพ์ใบกำกับภาษีดังกล่าวย่อมมีวิธีการจัดทำใบกำกับภาษีที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งจะทำให้ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีดังกล่าวไม่มีสิทธินำมาใช้ได้เนื่องจากเป็นภาษีซื้อต้องห้ามตามข้อ 2 (5) (12) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42) ฯ
5. ถ้าใบกำกับภาษีที่ได้รับดังกล่าว ปรากฏว่ามีการแก้ไขรายการของใบกำกับภาษีไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆ ใบกำกับภาษีดังกล่าวย่อมนำมาใช้ไม่ได้เนื่องจากเป็นภาษีซื้อต้องห้ามตามข้อ 2 (10) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42) ฯ
6. ถ้าใบกำกับภาษีที่ได้รับดังกล่าวมีรายการของใบกำกับภาษีเป็นภาษาอื่นนอกจากภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รวมทั้งหน่วยเงินตราไม่ใช่เงินบาท ใบกำกับภาษีดังกล่าวย่อมนำมาใช้ไม่ได้
ใบกำกับภาษีที่ไม่ถูกต้องมี 6 ลักษณะตามที่กล่าวข้างต้น ถ้าได้รับใบกำกับภาษีไม่ถูกต้องแล้ว ผู้ประกอบการจดทะเบียนผู้ได้รับใบกำกับภาษีจะนำใบกำกับภาษีดังกล่าวมาขอคืนหรือขอเครดิตภาษีซื้อไม่ได้ จึงไม่ควรนำมาลงในรายงานภาษีซื้อ เพื่อนำไปยื่นในแบบ ภ.พ.30 อย่างเด็ดขาด อย่างไรก็ดี ถ้าประสงค์จะนำภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีไปขอคืนหรือขอเครดิตภาษีซื้อได้นั้น จะต้องปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติของกรมสรรพากร โดยการขอให้ผู้ออกใบกำกับภาษียกเลิกใบกำกับภาษีดังกล่าว และออกใบกำกับภาษีฉบับใหม่เท่านั้น (สำหรับใบกำกับภาษีที่มีลักษณะตามข้อ 2-6) ส่วนใบกำกับภาษีตามข้อที่ 1 ไม่มีสิทธินำมาใช้ได้อย่างเด็ดขาด
ทั้งนี้ กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนได้รับใบกำกับภาษีซื้อที่มีรายการถูกต้องครบถ้วนไม่เข้าลักษณะเป็นภาษีซื้อต้องห้ามตามที่กล่าวใน 1-6 แล้ว ถ้าใบกำกับภาษีดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นภาษีซื้อต้องห้ามในกรณีอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเงื่อนไขของใบกำกับภาษีซึ่งกฎหมายกำหนดให้เป็นภาษีซื้อต้องห้าม ก็จะถือเป็นภาษีซื้อต้องห้ามได้เช่นกัน อันได้แก่- ภาษีซื้ออันเกิดจากค่ารับรอง (มาตรา 82/5 (4))
- ภาษีซื้อเกี่ยวกับรถยนต์นั่ง และรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ข้อ 2 (1) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42) ฯ
- ภาษีซื้ออันเกิดจากการซื้อสินทรัพย์หรือบริการนำไปใช้ในกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (ข้อ 2(3) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42)ฯ)
- ภาษีซื้ออันเกิดจากการก่อสร้างอาคารหรืออสังหาริมทรัพย์อื่น เพื่อใช้หรือจะใช้ในกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และต่อมาได้ขายหรือให้เช่าหรือนำไปใช้ในกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้ เฉพาะกรณีที่ได้กระทำภายใน 3 ปีนับแต่เดือนภาษีที่ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ (ข้อ 2 (4) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42)ฯ)
- ภาษีซื้ออันเกิดจากการเฉลี่ยภาษีซื้อ และเป็นภาษีซื้อส่วนที่เฉลี่ยเป็นของกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (ข้อ 2(8)) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42)ฯ
สำหรับแนวทางปฏิบัติในการยกเลิกใบกำกับภาษีฉบับเดิม และออกใบกำกับภาษีฉบับใหม่แทนฉบับเดิม กรมสรรพากรได้วางแนวทางปฏิบัติไว้ตามคำสั่งกรสสรรพากรที่ ป.86/2542ฯ ข้อ 25 โดยให้ดำเนินการดังนี้
(1) เรียกคืนใบกำกับภาษีฉบับเดิมและนำมาประทับตราว่า “ยกเลิก” หรือขีดฆ่า แล้วเก็บรวมไว้กับสำเนาใบกำกับภาษีฉบับเดิม
(2) จัดทำใบกำกับภาษีฉบับใหม่ซึ่งเป็นเลขที่ใหม่ แต่จะต้องลงวัน เดือน ปีให้ตรงกับวัน เดือน ปี ตามใบกำกับภาษีฉบับเดิม
(3) หมายเหตุไว้ในใบกำกับภาษีฉบับใหม่ว่า “เป็นการยกเลิก” และออกใบกำกับภาษีฉบับใหม่แทนฉบับเดิม เลขที่...เล่มที่...และหมายเหตุการยกเลิกใบกำกับภาษีไว้ในรายงานภาษีขายของเดือนภาษีที่จัดทำใบกำกับภาษีใหม่ด้วย
ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ร้องขอให้ยกเลิกใบกำกับภาษีฉบับเดิมและจัดทำฉบับใหม่ที่ถูกต้องจะต้องถ่ายเอกสารใบกำกับภาษีฉบับเดิมที่ขอยกเลิกติดเรื่องไว้ด้วย
ที่มา: วารสารเอกสารภาษีอากร