ตอนนี้การแข่งขันเทนนิสรายการ PTT ไทยแลนด์โอเพ่น ที่ดนัย อุดมโชค นักเทนนิสชาวไทยเพิ่งจะตกรอบแรก โดยพลาดท่าให้กับนักหวดชาวญี่ปุ่น หลายท่านอาจสงสัยว่า นักกีฬาอาชีพที่เข้ามาแข่งขันในประเทศไทย หรือแม้แต่นักกีฬาไทย จะมีการเสียภาษีกันอย่างไร จัดอยู่ในกลุ่มไหน
นักกีฬาอาชีพ ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับนักแสดงสาธารณะ (หมายถึง ดาราทั้งหลาย เช่น พลอย เฌอมาลย์ / อั้ม พัชราภา / โดม ปกรณ์ ฯลฯ) ซึ่งจะมีความหมายปรากฏอยู่ในคำสั่งกรมสรรพากร ว่า “นักแสดงสาธารณะ หมายถึง นักแสดงละคร ภาพยนตร์ วิทยุ โทรทัศน์ นักร้อง นักดนตรี นักกีฬาอาชีพ หรือนักแสดงเพื่อความบันเทิงใด ๆ ไม่ว่าจะแสดงเดี่ยว เป็นหมู่คณะ หรือ แข่งขันเป็นทีม เช่น นักแสดงละครเวที นักแสดงภาพยนตร์ นักแสดงละครวิทยุ นักแสดงละครโทรทัศน์ นักแสดงตลก นายแบบ นางแบบ นักพูดรายการทอล์กโชว์ นักมวยอาชีพ นักฟุตบอลอาชีพ เป็นต้น”
“เงินได้ของนักแสดงสาธารณะ หมายถึง เงินได้พึงประเมินหรือค่าตอบแทนจากการประกอบอาชีพนักแสดงสาธารณะ รวมถึงรางวัลและประโยชน์ใด ๆ บรรดาที่ได้เนื่องจากการแสดง หรือการแข่งขัน เช่น ค่าพาหนะในการเดินทาง ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ไม่ว่าจะจ่ายตามจำนวนคราวที่แสดงหรือแข่งขัน จ่ายเป็นการเหมา หรือจ่ายในลักษณะอื่นทำนองเดียวกัน”
จากความหมายของนักแสดงสาธารณะและเงินได้ของนักแสดงสาธารณะ ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่า กรมสรรพากรยอมรับให้ดาราและนักกีฬาอาชีพจัดอยู่ในเงินได้พึงประเมินประเภทอื่นๆ ตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากรโดยแยกภาระภาษีได้ดังนี้
- กรณีนักกีฬามีเงินได้ในประเทศไทย
ตัวอย่างเช่น ดนัยได้ทำการแข่งขันเทนนิสในประเทศไทย เท่ากับว่าเข้าลักษณะที่ดนัยมีหน้าที่งานที่ทำในประเทศไทย ตามความในมาตรา 41 แห่งประมวลรัษฎากรที่ว่า ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว เนื่องจากหน้าที่การงาน หรือกิจการที่ทำในประเทศไทย หรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย ต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ ดังนั้น ดนัยจึงต้องเสียภาษีให้แก่ประเทศไทย โดยต้องถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตรา 5% ของเงินได้ที่รับ แล้วก็มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยมีสิทธิเลือกหักค่าใช้จ่าย ดังนี้
1.1 หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมา
ดนัยมีสิทธิหักค่าใช้จ่ายเป็นจำนวน 60% สำหรับเงินได้ในส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท และหักได้ 40% สำหรับเงินได้ส่วนที่เกิน 300,000 บาท แต่เมื่อรวมกันแล้วมีเพดานสูงสุดไม่เกิน 600,000 บาท หรือ
1.2 หักค่าใช้จ่ายตามจำเป็นและสมควร
หากดนัยคิดว่ามีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่ามีค่าใช้จ่ายมากกว่าอัตราเหมาตามข้อ 1.1 ข้างต้น ดนัยมีสิทธิเลือกหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควร หรือเรียกอีกอย่างว่า “หักตามจริง” ได้ ซึ่งการเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริงแล้ว ปรากฏว่าหลักฐานที่นำมาพิสูจน์นั้นมีค่าใช้จ่ายที่หักได้ถูกต้องตามกฎหมายน้อยกว่าอัตราเหมาที่กฎหมายกำหนดไว้ ก็ต้องหักค่าใช้จ่ายได้เพียงเท่าที่มีหลักฐานมาพิสูจน์ กล่าวคือ เลือกหักตามจริงแล้ว ก็ต้องหักตามจริง แม้พิสูจน์แล้วหักได้น้อยกว่าอัตราเหมาก็ต้องหักตามจริงอยู่ดี
- กรณีนักกีฬาอาชีพมีรายได้ในต่างประเทศ
นักเทนนิส เช่น ดนัย อุดมโชค หรือน้องนก นพวรรณ เลิศชีวกานต์ หรือโปรกอล์ฟทั้งหลายเช่น ธงชัย ใจดี หรือ ประหยัด มากแสง เวลาไปแข่งขันรายการต่างๆ ที่ต่างประเทศบุคคลดังกล่าวต้องเสียภาษีในประเทศไทยหรือไม่ เช่น ภาษีปี 2555มีนักเทนนิสของไทยไปแข่งขันเทนนิสเอทีพี ชาลเลนเจอร์ ทัวร์ ที่ประเทศออสเตรเลียคว้าเงินรางวัลมาได้ถึง 7,200 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 216,000 บาทจะเสียภาษีในประเทศไทยหรือไม่ มีหลักเกณฑ์ ในการพิจารณาได้ดังนี้
- เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว เนื่องจากหน้าที่การงานหรือ กิจการที่ทำในต่างประเทศ หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ
- นำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทย (ในปีภาษีเดียวกับปีภาษีที่ได้รับเงินได้)
คำว่า “ผู้ที่อยู่ในไทย” หมายความว่า ผู้อยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะ รวมเวลาทั้งหมดแล้วครบ 180 วันในปีภาษีใด ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย ซึ่งเฉพาะกรณีที่นำเงินได้ที่ได้รับในต่างประเทศเข้ามาในปีภาษีเดียวกันกับปีภาษีที่ได้รับเงินนั้น จึงจะมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ในประเทศไทย ทั้งนี้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของมติ กพอ. ที่ถือปฏิบัติกันเรื่อยมา ว่าหากมีเงินได้ในต่างประเทศแล้วเก็บสะสมเอาไว้ ต่อมาหลังจากปีที่มีเงินได้จึงนำเงินดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทย ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ดังนั้น หากนักเทนนิสคนดังกล่าว อยู่ในประเทศไทยเกิน 180 วันในปีภาษี 2555 แต่นำเข้าเงินรางวัลที่ได้รับดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษี 2556 ก็ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทย
อย่างไรก็ดี นักเทนนิสคนดังกล่าวจะต้องเสียภาษีให้แก่ประเทศออสเตรเลียหรือไม่ กรณีนี้ก็ต้องไปดูกฎหมายของประเทศออสเตรเลียด้วยว่าจัดเก็บภาษีหรือไม่ อย่างไร แล้วจึงมาพิจารณาต่อ ว่าควรจะนำเงินได้ดังกล่าวเข้ามาในปีภาษีเดียวกันหรือไม่ แต่อย่างน้อยประเทศที่มีอนุสัญญาเพื่อเว้นการเก็บภาษีซ้อน (DTA) กับประเทศไทย ก็อาจจะช่วยให้นำภาษีที่ได้เสียไว้มาเป็นเครดิตเพื่อไม่ต้องเสียภาษีซ้ำซ้อนกันได้
ที่มา: เอกสารภาษีอากร ประจำเดือน กันยายน 2555 โดย สุรีย์ลักษณ์ ธนากิจไพศาล