ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับกีฬาสมัครเล่นก่อนว่าแตกต่างกับกีฬาอาชีพอย่างไร
“กีฬาสมัครเล่น” (Amateur Sports) หมายถึง กีฬาที่เล่นกีฬาด้วยใจสมัคร ไม่ได้มุ่งหวังค่าตอบแทน และไม่ได้รับการฝึกฝนหรือฝึกซ้อมมากเท่ากับนักกีฬาอาชีพ
“กีฬาอาชีพ” (Professional Sports) หมายถึง กีฬาที่นักกีฬาได้รับค่าตอบแทนจากการเล่นกีฬาหรืออาจกล่าวได้ว่า นักกีฬาอาชีพจะดำรงชีพจากค่าตอบแทนที่ได้จากการเล่นกีฬานั่นเอง ซึ่งจะมีการฝึกซ้อมอย่างจริงจัง
เมื่อรู้จักนิยามของนักกีฬาทั้งสองประเภทแล้ว นักกีฬาสมัครเล่น อย่างเช่น จ่าสิบเอก แก้ว พงษ์ประยูร นักมวยสากลสมัครเล่นทีมชาติไทย รุ่นไลท์ฟลายเวท (49 กิโลกรัม) ล่าสุดเพิ่งจะได้เหรียญเงินในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกมาหมาด ๆ รวมถึงแต้ว พิมศิริ ศิริแก้ว นักยกน้ำหนักหญิงเหรียญเงิน โอลิมปิก และน้องเล็ก ชนาธิป ซ้อนขำ นักเทควันโด้เหรียญทองแดงโอลิมปิก เมื่อกลับมาถึงประเทศไทย ต่างได้รับเงินอัดฉีดเพื่อเป็นการส่งเสริมขวัญและกำลังใจในฐานะนักกีฬาที่นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติ ทั้งเงินจากรัฐบาล จากบริษัทต่าง ๆ มากมาย ซึ่งจะต้องเสียภาษีอย่างไร
ภาระภาษีจากการแข่งขันกีฬาสมัครเล่น
1. เงินรางวัลหรือทรัพย์สินที่ได้เป็นรางวัลเนื่องจากการแข่งขัน
เมื่อเหล่านักกีฬาฮีโร่โอลิมปิกกลับมาถึงประเทศไทย มีบุคคลหลายกลุ่มรวมทั้งรัฐบาลและเอกชนได้มอบเงินอัดฉีดนักกีฬาเป็นรางวัล เงินได้เหล่านี้ต้องเสียภาษีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนให้หรือเปล่าคำตอบก็คือ ไม่ว่าผู้ให้จะเป็นใคร มอบให้แก่นักกีฬาสมัครเล่นโดยตรงหรือคณะนักกีฬาก็ตาม ในทางภาษีถือว่า เงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับ เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร โดยผู้รับไม่มีข้อผูกพันต้องกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นการตอบแทนให้แก่ผู้ให้หรือแก่บุคคลอื่น ย่อมเข้าลักษณะเป็นการให้โดยเสน่หา และก็ถือว่าเป็นการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี ที่ถือปฏิบัติทั่วไปในนานาอารยะประเทศ รวมทั้งในประเทศไทยก็ได้ปฏิบัติเช่นทำนองเดียวกันนี้มาตลอด กรณีดังกล่าวจึงได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับ มารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามมาตรา 42 (10) แห่งประมวลรัษฎากร และเมื่อเป็นเงินได้ที่ได้รับการยกเว้นภาษี เงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการนี้ก็ไม่ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายเลยแม้แต่บาทเดียว นักกีฬาก็ได้ไปอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ยิ้มแย้มแจ่มใสกันทั่วหน้า
2. เงินค่าครองชีพรายเดือน
เงินค่าครองชีพรายเดือนที่ กกท. จ่ายให้แก่นักกีฬา ตัวอย่างเช่น จ่ายให้นักกีฬารวมจำนวน 3 ล้านบาท เป็นเวลา 5 ปี จะต้องเสียภาษีอย่างไร คำตอบก็คือ
ก. ถ้าเป็นเงินที่ให้โดยไม่มีข้อผูกพันว่านักกีฬานั้นจะต้องกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดตอบแทน ให้แก่ผู้ให้หรือบุคคลอื่น และไม่อยู่ในลักษณะเป็นค่าจ้างแรงงาน เงินดังกล่าวนี้ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร แต่ได้รับยกเว้นภาษี เนื่องจากเข้าลักษณะเป็นเงินได้ที่ได้รับจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีตามมาตรา 42 (10) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น นักกีฬาจึงไม่ต้องถูกหักภาษีเงินได้แต่อย่างใด
ข. ถ้าเป็นเงินที่นักกีฬาต้องอยู่ในฐานะลูกจ้าง หรือ มีข้อผูกพันต้องกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดตอบแทนให้แก่ผู้ให้หรือบุคคลอื่น เช่น อาจต้องไปเป็นผู้ฝึกสอนให้ กกท.ต่อไป ซึ่งขึ้นอยู่กับว่านักกีฬาและ กกท. จะมีข้อสัญญาผูกพันในลักษณะของการจ้างแรงงานหรือจ้างทำ เงินได้นี้ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) หรือ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้รับก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ และผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามอัตราก้าวหน้าตามมาตร 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร แต่ถ้าการจ่ายเงินรวมทั้งปีแล้วไม่เกิน 240,000 บาท ก็ไม่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
3. เงินที่ได้จากการรับเชิญไปออกรายการต่าง ๆ
ในกรณีที่นักกีฬาได้รับเชิญไปออกรายการทางวิทยุโทรทัศน์ ไปแสดงตัว หรือได้รับเชิญไปร่วมงาน หรือ ร่วมพิธีต่าง ๆ เช่น เปิดแสดงสินค้า เปิดป้าย หรือในงานใด ๆ แล้วได้รับค่าตอบแทนไม่ว่าจะเป็นเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อย่างอื่น ซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน เงินได้ที่ได้รับดังกล่าวถือว่าเป็นเงินได้จากการรับทำงานให้ เป็นเงินได้ที่พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้รับมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร
หากเป็นกรณีที่นักกีฬาเข้าร่วมรายการ การประกวด การแข่งขันการชิงโชค และได้รับเงินรางวัล รวมทั้งค่าตอบแทนพิเศษจากรายการดังกล่าว เงินได้หรือทรัพย์สินที่ได้รับดังกล่าวถือว่า เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้รับไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 5 ของเงินที่จ่าย ถ้าการจ่ายนั้นมีจำนวนครั้งหนึ่งเป็นเงินตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป
นักกีฬาที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายจากผู้ว่าจ้างไปแล้ว สิ่งที่พึงระมัดระวังไว้ก็คือ ต้องไม่ลืมที่จะนำเงินได้ที่ได้รับไปคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และนำหนังสือรับรองการหัก ณ ที่จ่ายแนบไปกับการยื่นแบบเสียภาษี ไม่ใช่คิดว่าเสียภาษีโดยการถูกหัก ณ ที่จ่ายไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีอีก เพราะมีกรณีตัวอย่างเกิดขึ้น ซึ่งปรากฏว่า คนที่ไม่ได้นำเงินได้ที่ถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายดังกล่าวไปรวมยื่นแบบเสียภาษี ก็ถูกประเมินให้เสียภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มกันมานักต่อนักแล้ว เว้นแต่สรรพกากรใจดีหน่อยก็อาจจะเตือนก่อน ถ้าเตือนแล้วยังไม่ให้ความร่วมมืออย่างนี้ก็ถูกประเมินแน่นอน (แต่ความจริงสรรพากรน่าจะหาวิธีลดขั้นตอนพวกนี้ลงบ้าง เพื่อให้ตรงกับลักษณะของภาษีอากรที่ดี” ซึ่งต้องมีความสะดวก คือไม่ยุ่งยากซับซ้อนและมีความยืดหยุ่น)
มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการกีฬาที่กำลังจะออกมา
ล่าสุด เพิ่งจะมีมติ ครม. เห็นชอบมาตรการเสียภาษีเพื่อสนับสนุนการกีฬา โดยให้บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่บริจาคให้แก่การกีฬาแห่งประเทศไทย คณะกรรมการกีฬาจังหวัดกรมพลศึกษา สมาคมกีฬาแห่งประเทศไทยที่ได้รับการรับรองโดยการกีฬาแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬาจังหวัดที่ได้รับอนุญาตจัดตั้งตามพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ.2528 และกองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ สามารถนำรายจ่ายดังกล่าวมาเป็นค่าใช้จ่ายในคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ 2 เท่า แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษา ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้สุทธิ ส่วนกรณีนิติบุคคลนั้น มีเพดานไม่เกินร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะ หรือเพื่อการสาธารณะประโยชน์และรายจ่ายเพื่อการศึกษาหรือเพื่อการกีฬา ทั้งนี้ มีผลบังคับสำหรับรายจ่ายที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 – 31 ธันวาคม 2558
ที่มา: เอกสารภาษีอากร ประจำเดือน กันยายน 2555 โดย สุรีย์ลักษณ์ ธนากิจไพศาล