นับตั้งแต่ที่กรมสรรพากรตีความว่า คณะบุคคลซึ่งคนไทยนิยมกันจัดตั้งขึ้น เป็นหน่วยภาษีเพื่อวางแผนช่วยให้เสียภาษีลดลงเป็นการกระทำที่ไม่ค่อยตรงกับวัตถุประสงค์เท่าใดนัก เพราะเจตนาของการจัดตั้งคณะบุคคล เป็นการรวมตัวกันชั่วคราวเพื่อทำกิจการใดๆกิจการหนึ่งโดยเฉพาะ และเมื่อเสร็จงานแล้วก็จะเลิกกิจการแยกย้ายกันไป เช่น รวมกันจัดคอนเสิร์ต จัดสัมมนา หรือการออกร้านแสดงสินค้า ดังนั้น ถ้าหากบุคคลใดจะจัดตั้งคณะบุคคลเพื่อวางแผนทางภาษีเป็นการถาวรแล้ว ก็ต้องจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ตามมาตรา 1025 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งบัญญัติว่า “อันว่าห้างหุ้นส่วนสามัญนั้น คือ ห้างหุ้นส่วนประเภทที่ผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคนต้องรับผิดร่วมกันเพื่อหนี้ทั้งปวงของหุ้นส่วนโดยไม่มีจำกัด”
กรมสรรพากรจึงได้ยุติรับจดทะเบียนและให้เลขประจำตัวภาษีอาการของคณะบุคคล แต่ก็ยังเปิดโอกาสให้จัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญได้ ห้างหุ้นส่วนสามัญก็มีฐานะในทางภาษีเหมือนกับคณะบุคคล หากจะเป็นการรวมตัวกันเพื่อทำกิจการถาวร เช่น ร่วมกันรับเหมาก่อสร้าง แต่คนไทยก็รู้สึกเกรงๆที่จะจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ เพราะมาตรา 1025 ของกฎหมายกำหนดว่าทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกันในหนี้สินทั้งปวงของห้างหุ้นส่วน เมื่อหมดช่องทางในการจัดตั้งคณะบุคคล คนไทยหลายคนก็เริ่มเหลียวซ้ายแลขวาว่า จะหาวิธีการเสียภาษีให้ลดลงตามกฎหมายได้อย่างไร ในอันที่จริงแล้วเครื่องมือต่างๆ ก็มีอยู่ใกล้ๆตัวคุณนั้นเอง
มีบุคคลในครอบครัวอยู่สองประเภทที่จะช่วยให้คุณลดภาษีได้ คือ
- ผู้สูงอายุ เช่น คุณพ่อ คุณแม่ หรือคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ที่เกษียณอายุแล้ว ซึ่งเมื่อไม่ได้ทำงานและไม่มีรายได้ และถ้ามีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปแล้วต้องเสียภาษีก็ยังได้หักค่าลดหย่อนเป็นพิเศษอีกปีละ 190,000 บาทด้วย
- มนุษย์ตัวเล็กๆ ที่เป็นลูกหลานซึ่งกำลังศึกษาอยู่ ก็เป็นบุคคลประเภทไม่มีรายได้เช่นเดียวกัน
บุคคลสองประเภทนี้คุณสามารถใช้ประโยชน์ในทางภาษีได้อย่างดี เช่น ผู้สูงอายุก็ทำงานเป็นที่ปรึกษาได้รับค่าธรรมเนียมการปรึกษา หรือเป็นกรรมการหรือเบี้ยประชุม โดยไม่ต้องเป็นพนักงาน ส่วนเยาวชนนั้นถ้าหากว่าคุณมีอสังหาริมทรัพย์ซึ่งปล่อยเช่า คุณสามารถจดทะเบียนสิทธิเก็บกินให้กลับพวกเด็กเหล่านั้นให้เป็นผู้ทรงสิทธิเก็บกินเพื่อว่าค่าเช่าจะได้ถือเป็นรายได้ของเยาวชน ไม่ต้องนำมาบวกต่อยอดกับรายได้ของตัวคุณซึ่งอาจจะสูงอยู่แล้วพลอยทำให้ต้องเสียภาษีสูงๆไปด้วย
การที่ให้เยาวชนมีส่วนร่วมรับผิดชอบในด้านภาษี จะช่วยสร้างให้มีความตระหนักในคุณค่าของเงินเพราะสมัยนี้ได้คำนวณกันว่า มีลูกหนึ่งคนกว่าจะเลี้ยงจนโต จนจบปริญญาตรีอายุ 22 ปี ต้องใช้เงินถึง 10 ล้านบาท กล่าวคือ เฉลี่ยปีละ 500,000 บาท และเยาวชนสมัยนี้ก็มักจะขอเครื่องมือเครื่องใช้หรือของเล่นราคาแพง ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ I-Phone คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ หรือห้องส่วนตัว การที่ให้เยาวชนมีส่วนร่วมในด้านการเงินและภาษีจึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์และเหมาะสมอย่างยิ่ง
การวางแผนด้านภาษี
ตราบใดที่วัยรุ่นยังมีอายุในเกณฑ์ที่พ่อแม่สามารถนำมาขอลดหย่อนภาษีได้ ก็จะได้รับการลดหย่อน 15,000 บาทต่อปี บวกค่าเล่าเรียนอีก 2,000 บาท รวมเป็น 17,000 ซึ่งนับว่าเล็กน้อยอย่างยิ่ง ความจริงเงินจำนวนนี้คงไม่พอที่จะใช้เลี้ยงดูวัยรุ่นสักคน โดยเฉพาะวัยรุ่นที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่
ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลก็ไม่ได้จ่ายเงินจำนวนนี้ให้คุณเป็นเงินสด เพียงแต่อนุญาตให้ใช้เป็นตัวเลขในการบรรเทาภาระภาษีเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เด็กๆอาจให้ประโยชน์ทางภาษีแก่คุณได้เพราะเขาส่วนใหญ่ไม่มีรายได้ ทำให้พวกเขาอยู่ในกลุ่มผู้เสียภาษีต่ำที่สุด ถ้าคุณนำรายได้ส่วนหนึ่งไปฝากไว้กับเด็กๆ เช่น ถ้าคุณทำงานกินเงินเดือน และเป็นเจ้าของห้างหุ้นส่วนที่เปิดร้านขายของชำเล็กๆร้านหนึ่งด้วย ในกรณีที่ลูกของคุณโตพอราวอายุสัก 15 ปีขึ้นไป คุณก็อาจให้ลูกเป็นหุ้นส่วนในห้างเงินรายได้ส่วนของห้างนี้ก็จะไม่ไปรวมเป็นรายได้ของคุณแต่จะแยกออกมา ช่วยให้คุณไม่ต้องเสียภาษีโดยตรงจากรายได้จากร้านขายของในส่วนนี้
ถ้าร้านค้าของคุณทำเงินได้ 10 ล้านบาทต่อปี และคุณหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาแบบ 80% คุณจะเสียภาษีเพียง 417,000 บาท หรือราวๆ 4.2 % ของรายได้ทั้งหมด และถ้าหากคุณหักค่าใช้จ่ายต่างๆในทางตรงกันข้ามถ้าคุณเป็นเจ้าของร้านแต่เพียงผู้เดียวในขณะที่มีรายได้ประจำจากเงินเดือน 2 ล้านบาทต่อปี คุณจะต้องเสียภาษีจากกำไรของร้านค้าถึง 600,000 บาท ซึ่งมากกว่าการใช้ห้างหุ้นส่วน 183,000 บาทต่อปี
ผู้ปกครองหลายๆรายยังสามารถนำรายได้ประเภทอื่นๆ ไปรวมไว้กับลูกๆ เช่น รายได้จากการให้เช่าหอพักโดยการจดทะเบียนสิทธิเก็บกินให้กับลูก เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีความจำเป็นที่คุณต้องนำรายได้ที่เกิดจากดอกเบี้ยทุกประเภทใส่เป็นชื่อของเด็กๆ เพราะรายได้ส่วนนี้ต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 15% เท่ากันอยู่แล้ว นอกเสียจากว่าคุณต้องการขอคืนเงินภาษีที่ถูกหักไว้ ในกรณีที่รายได้รวมในแต่ละปีมียอดไม่เกิน 780,000 บาท
ยิ่งไปกว่านั้นคุณควรจับตาเรื่องเงินปันผลให้ดี เพราะยังมีกฎหมายล้าสมัย ที่กำหนดว่าเงินปันผลที่เด็กๆได้รับ ถือเป็นรายได้ของพ่อแม่ แม้ว่ากฎหมายนี้จะถูกลบล้างด้วยกฎหมายว่าด้วยการหักภาษี ณ ที่จ่าย ฉบับใหม่ที่กำหนดให้หักภาษี ณ ที่จ่าย 10 % ของเงินปันผลโดยจำนวนเงินสุทธิที่เหลือจากหักภาษีแล้วไม่ต้องเสียภาษีอีก แต่ถ้าคุณยังประสงค์จะหาประโยชน์จากการเครดิตภาษี(Tax Credit) ได้โดยใช้สูตร 3/7 คุณต้องมีรายได้ในปีนั้นไม่เกิน 4 ล้าน